:: GPStt.com ::

หมวด บอร์ดทั่วไป
=> สารพันความรู้ - เทคโนโลยี => ข้อความที่เริ่มโดย: ลุงเปี๊ยก ที-เน็ตเวิร์ค (อ.สากเหล็ก) ที่ 18 สิงหาคม 2565, เวลา 21:07:55 น.

หัวข้อ: สายไฟเบอร์ออฟติก Single Mode และ Multi Mode ต่างกันยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: ลุงเปี๊ยก ที-เน็ตเวิร์ค (อ.สากเหล็ก) ที่ 18 สิงหาคม 2565, เวลา 21:07:55 น.
สายไฟเบอร์ออฟติก Single Mode และ Multi Mode ต่างกันยังไง
ที่มา: www.satsdigital.com/สายไฟเบอร์ออฟติก (https://www.satsdigital.com/%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%9F%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%81)

สายไฟเบอร์ออฟติก Single Mode และ Multi Mode ต่างกันยังไง

1. สายไฟเบอร์ออฟติกแบบ Single Mode
สายไฟเบอร์ออฟติกชนิด Single Mode (ซิงเกิ้ลโหมด) จะใช้สัญลักษณ์ สีเหลือง เป็นตัวบ่งบอก จะมีแกนไฟเบอร์หรือที่เรียกกันว่าคอร์ (Core) ไฟเบอร์ที่เล็กกว่า 10 ไมครอน มาตรฐานที่ใช้กันจะอยู่ที่ขนาด 9 ไมครอน ฝังอยู่ภายในชั้นที่เราเห็นว่าเป็นเส้นแก้วหรือชั้น (Cladding) ที่มีขนาด 125 ไมครอน มาตรฐาน Fiber Optic os2 จึงเป็นที่มาของคำเรียกที่ว่า 9/125µm นั่นเอง ความยาวคลื่นแสงที่เหมาะสมกับสาย Single Mode คือ 1310nm-1625nm นาโนเมตร (nm) ดังนั้นด้วยขนาดของคอร์ไฟเบอร์ที่มีขนาดเล็ก และแสงเดินทางเป็นเส้นตรง จึงมีการสะท้อนแสงน้อยเมื่อลำแสงวิ่งผ่านสายไฟเบอร์ชนิดนี้ จึงทำให้สามารถรับส่งสัญญาณได้ไกลถึง 100 กิโลเมตรเลยทีเดียว


2. สายไฟเบอร์ออฟติกแบบ Multi Mode
สายไฟเบอร์ออฟติกแบบ Multi Mode (มัลติโหมด) ส่วนใหญ่จะใช้สัญลักษณ์ สีส้ม เป็นตัวบ่งบอก จะมีแกนไฟเบอร์หรือคอร์อยู่ด้วยกัน 2 ขนาดคือ ขนาด 50 ไมครอน และขนาด 62.5 ไมครอน ฝังอยู่ภายในชั้นที่เราเห็นว่าเป็นเส้นแก้วหรือชั้น (Cladding) ที่มีขนาด 125 ไมครอน เช่นเดียวกันกับสายแบบ Single Mode คำเรียกที่คุ้นเคยคือ 50/12µm และ 62.5/125µm ความยาวคลื่นแสงที่เหมาะสมในการใช้งานคือ 850 นาโนเมตร (nm) ด้วยขนาดของคอร์ไฟเบอร์ที่มีขนาดใหญ่ และการเดินทางของลำแสงจะเป็นลักษณะสะท้อนขึ้นลงในคอร์ไฟเบอร์ แสงจึงเดินทางได้ช้ากว่าและมีการลดทอนมาก ทำให้ระยะใช้งานสั้นลงตามไปด้วย ยิ่งคอร์ไฟเบอร์มีขนาดใหญ่ ระยะก็จะสั้นลงไปอีกถ้าเปรียบเทียบกันเองคือ ระยะของ Multi Mode 62.5 ไมครอน จะได้ระยะทางที่สั้นกว่า Multi Mode 50 ไมครอนนั่นเอง สายมัลติโหมดจะเหมาะกับการใช้งานระยะทางสั้นๆ ยิ่งยาวยิ่งลดทอนมาก ไม่เกิน 550 เมตร ที่ความยาวคลื่นแสง 850nm และสูงสุดที่ 2 กิโลเมตร ที่ความยาวคลื่น 1310nm โดยประมาณครับ