:: GPStt.com ::

หมวด บอร์ดทั่วไป
=> สารพันความรู้ - เทคโนโลยี => ข้อความที่เริ่มโดย: ลุงเปี๊ยก ที-เน็ตเวิร์ค (อ.สากเหล็ก) ที่ 27 เมษายน 2558, เวลา 07:32:34 น.

หัวข้อ: ใบทุเรียนเทศ ทำลายเซลล์มะเร็ง ความรู้ทั่วไปที่แชร์ผ่านระบบโซเชียล
เริ่มหัวข้อโดย: ลุงเปี๊ยก ที-เน็ตเวิร์ค (อ.สากเหล็ก) ที่ 27 เมษายน 2558, เวลา 07:32:34 น.
ใบทุเรียนเทศ ทำลายเซลล์มะเร็ง ความรู้ทั่วไปที่แชร์ผ่านระบบโซเชียล


เป็นการรวบรวมความรู้ต่างๆ ที่ส่งหรือแชร์ผ่านโซเชียลต่างๆ เช่น ไลน์ เฟซบุ้ค ฯลฯ
จริงเท็จประการใดผมไม่อาจยืนยันได้ บางข้อมูลได้ตรวจสอบผ่านเว็บต่างๆอาจถูกต้องหรือใกล้เคียง บางข้อมูลถ้าตรวจสอบตามสื่อต่างๆแล้วไม่พบว่ามีการเผยแพร่ตีพิมพ์ ทางเว็บพิจารณาแล้วมีเหตุมีผลทางเว็บจะนำมาลงแบบนี้ตลอดไป



http://www.news-lifestyle.com/content/147656/ (http://www.news-lifestyle.com/content/147656/)

[attach=2]



[attach=1]
ออนไลน์หึ่ง! “ใบทุเรียนเทศ” ทำลายเซลล์มะเร็ง

อ้างถึง
อ้างจาก: ได้รับการส่งต่อมาจากไลน์คุณลุงท่านนึงจาก จ.ตรัง
สุดทึ่ง!! อดีตนายก อบต. อาชีพทนายความ ป่วยหนักแพทย์ระบุเป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองระยะสุดท้าย จนกระทั่งน้องชายแนะนำให้ดื่มน้ำต้มใบทุเรียนเทศวันละ 3 เวลาเพียง 20 วัน หมออึ้ง!! ตรวจไม่พบเนื้อร้าย
 
เมื่อวันที่ 25 เม.ย. 58 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพินิจ แสงสร้อย อายุ 52 ปี บ้านเลขที่ 7 หมู่ที่ 7 ต.นาจักร อ.เมือง จ.แพร่ อดีตนายก อบต.สบสาย 2 สมัย และมีอาชีพทนายความปัจจุบัน พร้อมเปิดเผยความมหัศจรรย์ ที่เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ ตั้งแต่ช่วงเดือน ก.ค. 57 ที่ผ่านมา ที่ต้องทนทุกข์ทรมานกับอาการเจ็บป่วยจนถึงขั้นแพทย์ระบุเป็นโรคมะเร็งระยะสุดท้าย ตนได้รักษาตามภูมิชาวบ้านหายขาดจากการดื่มน้ำต้มใบทุเรียนเทศ
 
 
ทางด้านนายพินิจ เปิดเผยว่า อาการแรกเริ่มจากที่ตนเองรู้สึก เหมือนมีก้อนเนื้อขึ้นที่ลำคอ จนเริ่มขยายใหญ่ขึ้น ระหว่างนั้นคิดว่าจะเลือกใช้วิธีรักษาแบบธรรมชาติและพยายามหายาสมุนไพรมากิน แต่ไม่หาย จนกระทั่งวันที่ 28 ธ.ค. 57 ก้อนเนื้อที่ลำคอแตก รีบเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลแพร่ โดยแพทย์วินิจฉัยว่า เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง หลังจากรักษาแผลที่แตกเลือดหยุดไหลได้กลับมาพักรักษาต่อที่บ้าน ทุกคนในครอบครัวต่างช่วยกันพยายามหาหมอเก่งเฉพาะทางด้านมะเร็ง กระทั่งมีคนแนะนำว่ามีหมอที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย ตนก็ไปรักษา ขณะนั้นหมอระบุว่าว่ามะเร็งที่ลำคอแตกออก และยังมีเลือดไหลออกมาเรื่อยๆ ซึ่งได้ขยายลงไปสู่ปอดกับตับแล้ว ต้องอยู่รอดูอาการต่อไป
 
 
นายพินิจเผยต่ออีกว่า หลังจากทราบการวินิจฉัยโรคแล้ว ทำให้ตนกลับบ้านมาด้วยความหมดหวัง และก้อนเนื้อที่ลำคอเริ่มโตขึ้นอีก เหมือนมีกะลามะพร้าวมาค้ำคออยู่ จนกระทั่งนายภัคพงษ์ แสงสร้อย น้องชาย ทำงานสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่กรุงเทพฯ แนะนำให้ตนเองลองใช้ใบทุเรียนเทศมาต้มดื่มกิน เผื่อจะหาย ตนเริ่มรู้สึกมีความหวังอีกครั้งรีบไปเสาะหาใบทุเรียนเทศที่จังหวัดลำพูน และนำมาต้มให้เข้มข้น จนน้ำกลายเป็นสีดำ ดื่มทุกวัน วันละ 3 เวลา โดยเริ่มดื่มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ เมื่อได้ประมาณ 20 วัน ปรากฏว่า เลือดที่ไหลออกมาเริ่มหยุดแห้ง ส่วนก้อนเนื้อที่ลำคอเริ่มยุบลงเรื่อยๆ
 
 
ล่าสุด เมื่อวันที่ 27 มี.ค. 58 ที่ผ่านมา นายพินิจ ได้เดินทางไปพบแพทย์เพื่อตรวจมะเร็ง ที่อำเภอแม่สาย หลังจากแพทย์ตรวจวินิจฉัยอีกครั้ง ต้องตกใจพร้อมระบุว่า เชื้อมะเร็งขยายลงไปที่ตับและปอด หายหมด ส่วนที่ลำคอจากมะเร็งระยะ 4 กลับดีขึ้น กลายเป็นเพียงระยะ 1 นอกจากนี้แพทย์ยังระบุอีกว่า ไม่น่าเชื่อที่หายแบบก้าวกระโดดเช่นนี้
 
 
 
ขณะนี้อาการทุกอย่างเกือบจะเป็นปกติมากกว่า 80% สามารถทำงาน ขับรถ ใช้ชีวิตประจำวันได้ตามเดิม เมื่อเปรียบเทียบกับ 3-4 เดือนที่ผ่านมา แต่ก็ยังคงต้องต้มใบทุเรียนเทศ ดื่มต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหายเป็นปกติ สำหรับใบทุเรียนเทศในจังหวัดแพร่นั้น มีที่อำเภอร้องกวาง โดยตนเองยืนยันว่า มะเร็งหายได้จากการดื่มน้ำต้มใบทุเรียนเทศ เพราะตั้งแต่ดื่มน้ำต้มใบทุเรียนเทศมาก็ไม่ทานยาอย่างอื่นเลย เนื่องจากเกรงว่าตัวยาอาจทำลายสรรพคุณกันได้ นายพินิจ กล่าวปิดท้าย





[url]http://www.manager.co.th/qol/viewnews.aspx?NewsID=9570000031759[/url] ([url]http://www.manager.co.th/qol/viewnews.aspx?NewsID=9570000031759[/url])
ออนไลน์หึ่ง! “ใบทุเรียนเทศ” ทำลายเซลล์มะเร็ง กรมวิทย์ยันจริง แต่เป็นพิษต่อเซลล์ประสาทด้วย

       กระหึ่มโลกออนไลน์ ใช้ใบทุเรียนเทศทำลายเซลล์มะเร็งได้ดีกว่าเคมีบำบัด ด้านกรมวิทย์ชี้งานวิจัยต่างประเทศช่วยต้านเซลล์มะเร็ง ต้านอนุมูลอิสระได้จริง มีสิทธิต่อยอดเป็นยา แต่มีสารที่เป็นพิษต่อเซลล์ประสาทและมีผลต่อไต ระบุยังต้องศึกษาอีกมากโดยเฉพาะเรื่องความเป็นพิษ เพื่อนำมาใช้อย่างปลอดภัย

       นพ.อภิชัย มงคล อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวถึงกรณีสังคมออนไลน์มีการเผยแพร่สรรพคุณใบทุเรียนเทศสามารถทำลายเซลล์มะเร็งได้ดีกว่ายาเคมีบำบัด จนมีประชาชนสอบถามทางสถาบันวิจัยสมุนไพร กรมวิทย์ เป็นจำนวนมาก เพราะมีผลิตภัณฑ์จากใบทุเรียนเทศวางจำหน่าย ทั้งแคปซูล ชาชง และแนะนำให้ใช้ร่วมกับการรักษาด้วยเคมีบำบัด ว่า ทุเรียนเทศเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก ลำต้นสูงประมาณ 5-6 เมตร อยู่ในวงศ์เดียวกับน้อยหน่า ถิ่นกำเนิดอยู่ในอเมริกาเขตร้อน ต่อมามีการนำมาปลูกแพร่หลายในประเทศเขตร้อน ในต่างประเทศมีชื่อเรียกแตกต่างกันไป สเปนเรียก graviola ภาคใต้ของไทยเรียก ทุเรียนน้ำ ภาคกลางเรียก ทุเรียนแขก ทุเรียนเทศมีผลสีเขียวรูปกลมรี มีหนามนิ่มที่เปลือก รสเปรี้ยวอมหวานเล็กน้อย คนไทยนำทุเรียนเทศมาประกอบอาหาร ภาคใต้นิยมนำผลอ่อนใช้ทำแกงส้ม เชื่อม และคั้นทำเครื่องดื่ม ส่วนเมล็ดใช้เบื่อปลาและเป็นยาฆ่าแมลงได้ ส่วนใบมีสรรพคุณทางยาใช้รักษาโรคผิวหนัง แก้ไอ ปวดตามข้อและความดันโลหิตสูง
       
       นพ.อภิชัย กล่าวว่า จากรายงานการวิจัยของต่างประเทศพบว่า สารสกัดจากใบทุเรียนเทศมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ มีความเป็นพิษต่อเซลล์มะเร็งเต้านม ปอด ตับ ตับอ่อนและผิวหนังในหลอดทดลอง จากการศึกษาในสัตว์ทดลองพบว่า สารสกัดมีฤทธิ์ระงับปวด ต้านการอักเสบ ลดน้ำตาลและไขมันในเลือดของหนูที่เป็นเบาหวานได้ และมีรายงานวิจัยแสดงให้เห็นว่า สารสกัดด้วยเอทานอลของใบทุเรียนเทศมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของก้อนเนื้องอกผิวหนัง นอกจากนี้ สารสกัดยังมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของมะเร็งตับอ่อนและยังสามารถลดการแพร่กระจายของมะเร็งไปยังอวัยวะอื่นได้ด้วย ซึ่งจากการแยกสารสำคัญที่มีอยู่ในทุเรียนเทศที่มีผลต่อเซลล์มะเร็งพบว่า คือ สารกลุ่ม annonaceousacetogenins
       
       “แม้ทุเรียนเทศสามารถพัฒนาต่อยอดเป็นยารักษามะเร็งหรืออาจใช้ร่วมกับเคมีบำบัดในอนาคต แต่มีข้อมูลการวิจัยพบว่า มีสารแอนโนนาซินเป็นพิษต่อเซลล์ประสาท นอกจากนี้ ในรายงานการวิจัยของประเทศกานา ยังพบว่า หนูทดลองที่ได้รับสารสกัดใบทุเรียนเทศในปริมาณสูงมีผลต่อการทำงานของไต ดังนั้น การนำทุเรียนเทศมาใช้บำบัดโรคมะเร็งอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ยังต้องผ่านกระบวนการศึกษาวิจัยอีกมาก เช่น กลไกออกฤทธิ์ต่อเซลล์ต้นกำเนิดมะเร็ง การส่งสัญญาณภายในเซลล์ การแยกสารสำคัญออกฤทธิ์ชนิดต่างๆ การควบคุมคุณภาพและมาตรฐาน รวมถึงด้านพิษวิทยาและความปลอดภัย” อธิบดีกรมวิทย์ กล่าวและว่า สถาบันวิจัยสมุนไพร กำลังรวบรวมวัตถุดิบใบทุเรียนเทศในไทยมาศึกษาความเป็นพิษเบื้องต้นในห้องปฏิบัติการ เพื่อเป็นข้อมูลคุ้มครองผู้บริโภค และวางแผนศึกษาวิจัยเพื่อหาทางนำมาใช้ประโยชน์ต่อไป