หมวด บอร์ดทั่วไป
> สารพันความรู้ - เทคโนโลยี

การดูค่า loss ในเคเบิลใยแก้วนำแสง (Fiber optic)

(1/1)

ลุงเปี๊ยก ที-เน็ตเวิร์ค (อ.สากเหล็ก):
การดูค่า loss ในเคเบิลใยแก้วนำแสง
เครดิต: https://network.cmu.ac.th/wiki/index.php/Loss_Calculator



วิธีการอ่านค่าผลทดสอบสายใยแก้วนำแสง
ค่าต่างๆที่อ่านได้ในผลทดสอบ
1. ค่า A-B Distance คือ ค่าความยาวของสายใยแก้วนำแสงที่ทำการวัดได้จากการติดตั้ง หน่วยเป็น เมตร (m)
2. ค่า A-B Loss คือ ค่าการลดทอนสัญญาณของสายใยแก้วนำแสงที่ทำการวัดได้จากการติดตั้ง หน่วยเป็น เดซิเบล (dB)



• ตามมาตรฐาน ANSI/TIA-568-C.3 Cable Loss ของสายใยแก้วนำแสง ชนิด Single mode จะมีค่าประมาณ 0.0005dB/m (1310nm) และ 0.0005dB/m (1550nm) ส่วนสายใยแก้วนำแสง ชนิด Multimode จะมีค่าประมาณ 0.0035dB/m (850nm) และ 0.0015dB/m (1300nm)
• ตามมาตรฐาน ANSI/TIA-568-C.3 Connector Loss ของในแต่ละหัวต่อจะมีค่าไม่เกิน 0.75 dB
• ตามมาตรฐาน ANSI/TIA-568-C.3 Splice Loss ของในแต่ละจุดเชื่อมต่อจะมีค่าไม่เกิน 0.3 dB




สูตรที่ใช้ในการคำนวณ Channel Loss
Channel Loss = (Cable Loss x Length) + (Connector Loss x Point) + (Splice Loss x Point)

วิธีการคำนวณค่า Channel Loss
1. นำค่า Cable Loss ของสายใยแก้วนำแสงแต่ละชนิด (dB/m) x ค่า A-B Distance ของสายใยแก้วนำแสง (m)
2. นำค่า Connector Loss (dB) x จำนวนจุด
3. นำค่า Splice Loss (dB) x จำนวนจุด
4. นำค่าที่ได้ใน ข้อที่ 1 + ข้อที่ 2 + ข้อที่3
ดังนั้นจะได้ค่า Channel Loss ที่ได้จากการคำนวณ เพื่อนำมาวิเคราะห์เปรียบเทียบกับค่า A-B Loss ที่วัดได้จากเครื่อง OTDR




การคำนวณค่า Channel Loss สาย Single Mode
ที่ความยาวคลื่น 1310 nm ความยาวสาย 1.2 km. มีจุดต่อ Connector 2 จุด และ จุดต่อแบบ Splice 2 จุด

1. (Cable Loss@1310nm x Length(m)) = (0.0005dB/m x 1200 m) = 0.6 dB
2. (Connector Loss x Point) = (0.75 dB x 2 Point) = 1.5 dB
3. (Splice Loss x Point) = (0.3 dB x 2 Point) = 0.6 dB
เพราะฉะนั้น Channel Loss = (0.6 dB + 1.5 dB + 0.6dB) = 2.7 dB

* ดังนั้น ค่า A-B Loss ที่อ่านได้จาก OTDR จะต้องมีค่าน้อยกว่าหรือเท่ากับค่า Channel Loss ที่คำนวณได้ จึงจะถือว่าผ่านตามมาตรฐาน




การคำนวณค่า Channel Loss สาย Multi Mode
ที่ความยาวคลื่น 850 nm. ความยาวสาย 200 m. มีจุดต่อ Connector 2 จุด โดยไม่มีจุดต่อแบบ Splice

1. (Cable Loss@850nm x Length(m)) = (0.0035 dB/m x 200 m) = 0.70 dB
2. (Connector Loss x Point) = (0.75 dB x 2 Point) = 1.5 dB
3. (Splice Loss x Point) = (0.3 dB x 0 Point) = 0 dB
เพราะฉะนั้น Channel Loss = ( 0.70 dB + 0 dB+ 1.5 dB ) = 2.2 dB




การดูกราฟ

1. กราฟปกติ ที่ไม่มีจุดต่อสาย





2. กราฟปกติ ที่มีจุดต่อด้วย หัว Connector





3. กราฟปกติ ที่มีจุดต่อด้วยวิธีการ Splice








--- อ้างถึง ---ค่า Return Loss

    ค่า Return Loss คือค่าที่ได้จากการส่งสัญญาณเข้าไปในสาย แล้วสายมีสัญญาณ Reflect กลับมา เกิดจาก Impedance Mismatch หรือความต้านทานผิดเพี้ยน อาจจะเกิดจากการใช้งานหัว Connector เชื่อมสายสองเส้นเข้าด้วยกันแบบไม่ดี

ผลก็คือ ค่าความต้านทานเปลี่ยนแปลงกระทันหัน ทำให้เกิดคลื่นสะท้อนกลับมา

    ค่า return loss ยิ่งมากยิ่งดี เพราะมันคือความเข้มของสัญญาณ ดังนั้น ถ้าค่านี้ยิ่งมาก แปลว่าสัญญาณยิ่งดี เพราะปัจจัยทำให้เกิดค่ารบกวนน้อย

    ในหัวข้อ Return Loss จะมีความสามารถ  Return Loss Location เพื่อใช้ในการหาได้ว่า ปัญหา Return Loss ที่สะท้อนกลับมา มันเกิดจากตรงไหนของสาย เช่น เจอที่ระยะกี่เมตรจากจุดทดสอบ

    ถ้าเจอ return loss fail ให้ดู Return Loss Locator เพื่อดูว่า สายหักงอมากเกินไปหรือเปล่า โดยเฉพาะการเข้า terminal ใน outlet ผนัง เพราะ outlet ส่วนใหญ่มันแคบ จะเป็นจุดที่สายหักงอง่ายมาก

    หรือการรัด cable tie แน่นเกินไปก็ทำให้เกิด return loss ได้เหมือนกัน หรือการคลายเกลียวมากเกินไป ตอนเข้า terminal หรือเข้าหัวสายก็ทำให้เกิด return loss , crosstalk ได้เช่นเดียวกัน
--- ปิดอ้างถึง ---






เครดิต: https://network.cmu.ac.th/wiki/index.php/Loss_Calculator

ลิ้งค์ภายใน : www.gpsteawthai.com/index.php/topic,7661



นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

ไปที่เวอร์ชันเต็ม
Powered by SMFPacks Social Login Mod